โรคหลอดเลือดตีบ

Atherosclerosis in diabetic patients โรคหลอดเลือดตีบในผู้ป่วยเบาหวาน

โรคหลอดเลือดตีบ ในผู้ป่วยเบาหวาน กับ 10 ปัจจัยเสี่ยง

โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อระบบหลอดเลือดทั่วร่างกาย ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนทางหลอดเลือด โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะหลอดเลือดตีบหรือหลอดเลือดแข็ง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่โรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง บทความนี้จะให้ความรู้เกี่ยวกับโรค หลอดเลือดตีบในผู้ป่วยเบาหวาน เพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัวเข้าใจถึงความเสี่ยง สามารถป้องกันและดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสม

กลไกการเกิดโรคหลอดเลือดตีบในผู้ป่วยเบาหวาน

ในภาวะเบาหวาน ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเกินไปเป็นเวลานานจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดหลายประการ:

– การสร้าง Advanced Glycation End Products (AGEs) – น้ำตาลจะจับกับโปรตีนในร่างกาย ทำให้เกิดสารที่เรียกว่า AGEs ซึ่งทำให้ผนังหลอดเลือดเสียความยืดหยุ่น
– ภาวะ Oxidative Stress – ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงทำให้เกิดอนุมูลอิสระมากขึ้น ส่งผลให้เซลล์บุผนังหลอดเลือดเสียหาย
– การอักเสบเรื้อรัง – เบาหวานกระตุ้นกระบวนการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเร่งการเกิดคราบไขมันในผนังหลอดเลือด
– ความผิดปกติของไขมันในเลือด – ผู้ป่วยเบาหวานมักมีระดับไขมันผิดปกติ โดยเฉพาะระดับ LDL-Cholesterol สูง และ HDL-Cholesterol ต่ำ
– ความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด – เบาหวานทำให้เกล็ดเลือดจับกลุ่มและเกิดลิ่มเลือดได้ง่าย

กระบวนการเหล่านี้ทำให้เกิดการสะสมของคราบไขมัน (Atherosclerotic Plaque) ในผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง ลดการไหลเวียนของเลือด และอาจนำไปสู่การอุดตันของหลอดเลือดได้ในที่สุด

ประเภทของโรค หลอดเลือดตีบในผู้ป่วยเบาหวาน

โรคหลอดเลือดตีบในผู้ป่วยเบาหวานสามารถแบ่งได้ตามตำแหน่งที่เกิด

1. โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย (Peripheral Arterial Disease)

2. โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Disease)

3. โรคหลอดเลือดสมอง (Cerebrovascular Disease)

เกิดการตีบของหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงแขนและขา โดยเฉพาะที่ขา ทำให้เลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ มักพบในผู้ป่วยเบาหวานที่มีอาการดังนี้:

  • ปวดขาเวลาเดินไกลๆ (Intermittent Claudication)
  • เจ็บปวดแม้ขณะพัก โดยเฉพาะในเวลากลางคืน
  • ขาเย็น ผิวหนังซีด หรือคล้ำ
  • แผลที่เท้าหายช้าหรือไม่หาย
  • กล้ามเนื้อขาลีบ

เกิดการตีบตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด อาการที่พบ ได้แก่:

  • เจ็บหรือแน่นหน้าอก โดยเฉพาะเวลาออกแรงหรือเครียด
  • เหนื่อยง่าย
  • ใจสั่น
  • หน้ามืด เป็นลม

โรคนี้อาจนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (Myocardial Infarction) ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาทันที

ใช้การสังเกตและจดจำตามตัวอักษรคำว่า B.E.F.A.S.T. ได้ดังนี้
– B (Balance) : มีอาการทรงตัวไม่ได้ เดินเซ เวียนศีรษะ บ้านหมุน และสูญเสียการทรงตัว
– E (Eyes) : สูญเสียการมองเห็นข้างเดียว หรือทั้ง 2 ข้าง หรือตามัว และเห็นภาพซ้อน
– F (Face) : ปากเบี้ยว หน้าเบี้ยวครึ่งซีก หรือมุมปากตก
– A (Arm) : มีลักษณะแขนขาอ่อนแรง หรือชาครึ่งซีก
– S (Speech) : มีอาการลิ้นแข็ง พูดไม่ชัด พูดลำบาก พูดตะกุกตะกัก สื่อสารไม่เข้าใจ หรือนึกคำพูดไม่ออก
– T (Time) : เมื่อมีอาการดังกล่าว ให้รีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดภายในระยะเวลา 4 ชั่วโมง เนื่องจากเป็นระยะที่ยังปลอดภัย และสามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาละลายลิ่มเลือด ทั้งนี้สามารถโทร.เรียกรถพยาบาลฉุกเฉิน หรือโทร. 1669

ปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดตีบในผู้ป่วยเบาหวาน

นอกจากโรคเบาหวานเอง ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานมีโอกาสเกิดโรค หลอดเลือดตีบมากขึ้น ได้แก่:

การควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดี – ยิ่งระดับน้ำตาลสูงนาน ยิ่งเพิ่มความเสี่ยง
ความดันโลหิตสูง – ทำให้ผนังหลอดเลือดเสียหายเร็วขึ้น
ไขมันในเลือดผิดปกติ – โดยเฉพาะ LDL-Cholesterol สูง และ HDL-Cholesterol ต่ำ
การสูบบุหรี่ – เร่งการเกิดหลอดเลือดแข็งและเพิ่มความเสี่ยงการเกิดลิ่มเลือด
อายุมาก – ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามอายุ
การมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด
โรคอ้วน – โดยเฉพาะอ้วนลงพุง
การขาดการออกกำลังกาย
ภาวะดื้ออินซูลิน – ยิ่งมีภาวะดื้ออินซูลินมาก ยิ่งเพิ่มความเสี่ยง
ระยะเวลาการเป็นเบาหวาน – ยิ่งเป็นเบาหวานนาน ยิ่งเพิ่มความเสี่ยง

การตรวจคัดกรองเบื้องต้น

– การตรวจร่างกาย เช่น การคลำชีพจร การฟังเสียงการไหลเวียนของเลือด
– การตรวจ Ankle-Brachial Index (ABI) เพื่อประเมินการไหลเวียนเลือดที่ขา
– การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG)
– การตรวจระดับไขมันในเลือด

การตรวจเพิ่มเติม

– การตรวจคลื่นเสียงสะท้อน (Ultrasound) เพื่อดูการไหลเวียนของเลือด
– การตรวจ CT Angiography หรือ MR Angiography
– การตรวจสวนหลอดเลือด (Angiography) ซึ่งเป็นการฉีดสารทึบรังสีเข้าหลอดเลือดเพื่อดูรูปร่างและความผิดปกติ- การทดสอบสมรรถภาพหัวใจด้วยการออกกำลังกาย (Exercise Stress Test)
– การตรวจเลือดพิเศษเพื่อประเมินปัจจัยเสี่ยง เช่น hs-CRP, Homocysteine

การป้องกันโรค หลอดเลือดตีบในผู้ป่วยเบาหวาน

การป้องกันที่ดีที่สุดคือการดูแลตนเองอย่างเหมาะสม:

– ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด – ตรวจระดับน้ำตาลสม่ำเสมอและรับประทานยาตรงเวลา
– รับประทานอาหารสุขภาพ – เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนไขมันต่ำ และหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป อาหารที่มีน้ำตาลสูง และไขมันอิ่มตัว
– ออกกำลังกายสม่ำเสมอ – เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน
– ไม่สูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงการได้รับควันบุหรี่มือสอง
– จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ – ไม่เกิน 1 ดื่มต่อวันสำหรับผู้หญิง และ 2 ดื่มต่อวันสำหรับผู้ชาย
– ตรวจสุขภาพประจำปี – เพื่อติดตามปัจจัยเสี่ยงและตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
– จัดการความเครียด – ด้วยการทำสมาธิ โยคะ หรือกิจกรรมผ่อนคลายอื่นๆ
– พบแพทย์ตามนัด – และรับการตรวจคัดกรองภาวะแทรกซ้อนตามที่แพทย์แนะนำ

Atherosclerosis in diabetic patients โรคหลอดเลือดตีบในผู้ป่วยเบาหวาน

สัญญาณเตือนที่ควรพบแพทย์ทันที

ผู้ป่วยเบาหวานควรพบแพทย์ทันทีหากมีอาการต่อไปนี้:

  • เจ็บหน้าอกรุนแรง หายใจไม่สะดวก หรือเหงื่อออกผิดปกติ
  • อ่อนแรงหรือชาครึ่งซีกของร่างกายอย่างเฉียบพลัน
  • พูดไม่ชัด ปากเบี้ยว หรือมีปัญหาการมองเห็นทันที
  • ปวดศีรษะรุนแรงผิดปกติอย่างฉับพลัน
  • ปวดน่องหรือขาอย่างรุนแรงและเฉียบพลัน โดยเฉพาะเมื่อมีอาการบวม แดง หรือเย็น

บทสรุป

โรค หลอดเลือดตีบเป็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญและอันตรายในผู้ป่วยเบาหวาน การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างเคร่งครัด ร่วมกับการจัดการปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ และการสูบบุหรี่ จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคนี้ได้อย่างมาก

ผู้ป่วยเบาหวานควรให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพอย่างครบวงจร ทั้งการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย การใช้ยาตามแพทย์สั่ง และการตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยชะลอการเกิดและความรุนแรงของโรคหลอดเลือดตีบได้

อย่าลืมว่า การป้องกันและการตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้นเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น โรคหัวใจขาดเลือด หรือโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการพิการและเสียชีวิตในผู้ป่วยเบาหวาน

สินค้าและโปรโมชั่น แนะนำ!

Index
Scroll to Top