
โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อระบบหลอดเลือดทั่วร่างกาย ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนทางหลอดเลือด โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะหลอดเลือดตีบหรือหลอดเลือดแข็ง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่โรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง บทความนี้จะให้ความรู้เกี่ยวกับโรค หลอดเลือดตีบในผู้ป่วยเบาหวาน เพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัวเข้าใจถึงความเสี่ยง สามารถป้องกันและดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสม
กลไกการเกิดโรคหลอดเลือดตีบในผู้ป่วยเบาหวาน
ในภาวะเบาหวาน ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเกินไปเป็นเวลานานจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดหลายประการ:
- การสร้าง Advanced Glycation End Products (AGEs) – น้ำตาลจะจับกับโปรตีนในร่างกาย ทำให้เกิดสารที่เรียกว่า AGEs ซึ่งทำให้ผนังหลอดเลือดเสียความยืดหยุ่น
- ภาวะ Oxidative Stress – ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงทำให้เกิดอนุมูลอิสระมากขึ้น ส่งผลให้เซลล์บุผนังหลอดเลือดเสียหาย
- การอักเสบเรื้อรัง – เบาหวานกระตุ้นกระบวนการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเร่งการเกิดคราบไขมันในผนังหลอดเลือด
- ความผิดปกติของไขมันในเลือด – ผู้ป่วยเบาหวานมักมีระดับไขมันผิดปกติ โดยเฉพาะระดับ LDL-Cholesterol สูง และ HDL-Cholesterol ต่ำ
- ความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด – เบาหวานทำให้เกล็ดเลือดจับกลุ่มและเกิดลิ่มเลือดได้ง่าย
กระบวนการเหล่านี้ทำให้เกิดการสะสมของคราบไขมัน (Atherosclerotic Plaque) ในผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง ลดการไหลเวียนของเลือด และอาจนำไปสู่การอุดตันของหลอดเลือดได้ในที่สุด
ประเภทของโรค หลอดเลือดตีบในผู้ป่วยเบาหวาน
โรคหลอดเลือดตีบในผู้ป่วยเบาหวานสามารถแบ่งได้ตามตำแหน่งที่เกิด:
1. โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย (Peripheral Arterial Disease)
เกิดการตีบของหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงแขนและขา โดยเฉพาะที่ขา ทำให้เลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ มักพบในผู้ป่วยเบาหวานที่มีอาการดังนี้:
- ปวดขาเวลาเดินไกลๆ (Intermittent Claudication)
- เจ็บปวดแม้ขณะพัก โดยเฉพาะในเวลากลางคืน
- ขาเย็น ผิวหนังซีด หรือคล้ำ
- แผลที่เท้าหายช้าหรือไม่หาย
- กล้ามเนื้อขาลีบ
2. โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Disease)
เกิดการตีบตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด อาการที่พบ ได้แก่:
- เจ็บหรือแน่นหน้าอก โดยเฉพาะเวลาออกแรงหรือเครียด
- เหนื่อยง่าย
- ใจสั่น
- หน้ามืด เป็นลม
โรคนี้อาจนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (Myocardial Infarction) ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาทันที
3. โรคหลอดเลือดสมอง (Cerebrovascular Disease)
กฎหมายการเปิดคลินิกเสริมความงามและคลินิกเวชกรรมมีข้อกำหนดเฉพาะ เช่น:
– ต้องมีพื้นที่เหมาะสม
– มีระบบสุขาภิบาลที่ได้มาตรฐาน
– มีการจัดแบ่งพื้นที่ใช้สอยอย่างเหมาะสม
– มีห้องตรวจที่ถูกสุขลักษณะ

ปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดตีบในผู้ป่วยเบาหวาน
นอกจากโรคเบาหวานเอง ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานมีโอกาสเกิดโรค หลอดเลือดตีบมากขึ้น ได้แก่:
- การควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดี – ยิ่งระดับน้ำตาลสูงนาน ยิ่งเพิ่มความเสี่ยง
- ความดันโลหิตสูง – ทำให้ผนังหลอดเลือดเสียหายเร็วขึ้น
- ไขมันในเลือดผิดปกติ – โดยเฉพาะ LDL-Cholesterol สูง และ HDL-Cholesterol ต่ำ
- การสูบบุหรี่ – เร่งการเกิดหลอดเลือดแข็งและเพิ่มความเสี่ยงการเกิดลิ่มเลือด
- อายุมาก – ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามอายุ
- การมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด
- โรคอ้วน – โดยเฉพาะอ้วนลงพุง
- การขาดการออกกำลังกาย
- ภาวะดื้ออินซูลิน – ยิ่งมีภาวะดื้ออินซูลินมาก ยิ่งเพิ่มความเสี่ยง
- ระยะเวลาการเป็นเบาหวาน – ยิ่งเป็นเบาหวานนาน ยิ่งเพิ่มความเสี่ยง

การวินิจฉัยโรคหลอดเลือดตีบในผู้ป่วยเบาหวาน
- การตรวจวินิจฉัยโรค หลอดเลือดตีบมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่สงสัยว่ามีการตีบตัน:
การตรวจคัดกรองเบื้องต้น
- การตรวจร่างกาย เช่น การคลำชีพจร การฟังเสียงการไหลเวียนของเลือด
- การตรวจ Ankle-Brachial Index (ABI) เพื่อประเมินการไหลเวียนเลือดที่ขา
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG)
- การตรวจระดับไขมันในเลือด
การตรวจเพิ่มเติม
- การตรวจคลื่นเสียงสะท้อน (Ultrasound) เพื่อดูการไหลเวียนของเลือด
- การตรวจ CT Angiography หรือ MR Angiography
- การตรวจสวนหลอดเลือด (Angiography) ซึ่งเป็นการฉีดสารทึบรังสีเข้าหลอดเลือดเพื่อดูรูปร่างและความผิดปกติ
- การทดสอบสมรรถภาพหัวใจด้วยการออกกำลังกาย (Exercise Stress Test)
- การตรวจเลือดพิเศษเพื่อประเมินปัจจัยเสี่ยง เช่น hs-CRP, Homocysteine
การรักษาโรค หลอดเลือดตีบในผู้ป่วยเบาหวาน
การรักษาโรคหลอดเลือดตีบในผู้ป่วยเบาหวานประกอบด้วย
1. การควบคุมปัจจัยเสี่ยง
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด – พยายามรักษาระดับ HbA1c ให้อยู่ในเกณฑ์เป้าหมาย (<7% หรือตามที่แพทย์กำหนด)
- ควบคุมความดันโลหิต – เป้าหมายคือต่ำกว่า 130/80 mmHg
- ควบคุมระดับไขมัน – ลด LDL-Cholesterol ให้ต่ำกว่า 70 mg/dL ในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
- หยุดสูบบุหรี่ – ทันทีและอย่างเด็ดขาด
- ลดน้ำหนัก – หากมีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ – อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
2. การรักษาด้วยยา
- ยาต้านเกล็ดเลือด เช่น Aspirin, Clopidogrel – ช่วยป้องกันการเกิดลิ่มเลือด
- ยาลดไขมัน กลุ่ม Statins – ช่วยลดระดับ LDL-Cholesterol และมีฤทธิ์ลดการอักเสบของผนังหลอดเลือด
- ยาลดความดันโลหิต – โดยเฉพาะกลุ่ม ACE inhibitors หรือ ARBs ซึ่งช่วยปกป้องไตและหัวใจ
- ยาเบาหวาน – บางกลุ่ม เช่น SGLT2 inhibitors และ GLP-1 receptor agonists มีประโยชน์พิเศษในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด
3. การรักษาเฉพาะที่
- การขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูน (Angioplasty) และ/หรือการใส่ขดลวด (Stent) – เพื่อเปิดหลอดเลือดที่ตีบ
- การผ่าตัดทำทางเบี่ยง (Bypass Surgery) – เพื่อสร้างทางเดินใหม่ให้เลือด โดยเฉพาะในรายที่หลอดเลือดตีบมาก

การป้องกันโรค หลอดเลือดตีบในผู้ป่วยเบาหวาน
การป้องกันที่ดีที่สุดคือการดูแลตนเองอย่างเหมาะสม:
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด – ตรวจระดับน้ำตาลสม่ำเสมอและรับประทานยาตรงเวลา
- รับประทานอาหารสุขภาพ – เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนไขมันต่ำ และหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป อาหารที่มีน้ำตาลสูง และไขมันอิ่มตัว
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ – เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน
- ไม่สูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงการได้รับควันบุหรี่มือสอง
- จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ – ไม่เกิน 1 ดื่มต่อวันสำหรับผู้หญิง และ 2 ดื่มต่อวันสำหรับผู้ชาย
- ตรวจสุขภาพประจำปี – เพื่อติดตามปัจจัยเสี่ยงและตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
- จัดการความเครียด – ด้วยการทำสมาธิ โยคะ หรือกิจกรรมผ่อนคลายอื่นๆ
- พบแพทย์ตามนัด – และรับการตรวจคัดกรองภาวะแทรกซ้อนตามที่แพทย์แนะนำ
สัญญาณเตือนที่ควรพบแพทย์ทันที
ผู้ป่วยเบาหวานควรพบแพทย์ทันทีหากมีอาการต่อไปนี้:
- เจ็บหน้าอกรุนแรง หายใจไม่สะดวก หรือเหงื่อออกผิดปกติ
- อ่อนแรงหรือชาครึ่งซีกของร่างกายอย่างเฉียบพลัน
- พูดไม่ชัด ปากเบี้ยว หรือมีปัญหาการมองเห็นทันที
- ปวดศีรษะรุนแรงผิดปกติอย่างฉับพลัน
- ปวดน่องหรือขาอย่างรุนแรงและเฉียบพลัน โดยเฉพาะเมื่อมีอาการบวม แดง หรือเย็น
บทสรุป
โรค หลอดเลือดตีบเป็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญและอันตรายในผู้ป่วยเบาหวาน การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างเคร่งครัด ร่วมกับการจัดการปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ และการสูบบุหรี่ จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคนี้ได้อย่างมาก
ผู้ป่วยเบาหวานควรให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพอย่างครบวงจร ทั้งการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย การใช้ยาตามแพทย์สั่ง และการตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยชะลอการเกิดและความรุนแรงของโรคหลอดเลือดตีบได้
อย่าลืมว่า การป้องกันและการตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้นเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น โรคหัวใจขาดเลือด หรือโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการพิการและเสียชีวิตในผู้ป่วยเบาหวาน