โรคอันตรายจากการเดินป่า และวิธีป้องกัน

อันตรายจากการเดินป่า

การเดินป่าเป็นกิจกรรมที่สนุกและให้ประสบการณ์ที่น่าประทับใจ แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงต่อสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม นักเดินป่าควรเตรียมพร้อมรับมือกับโรคและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการผจญภัย บทความนี้จะแนะนำโรคอันตรายที่พบได้บ่อยจากการเดิน ป่าและวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพ

โรคไข้มาลาเรียและไข้เลือดออก – ภัยร้ายจากยุง

ยุงเป็นพาหะนำโรคที่อันตรายมากในป่า โดยเฉพาะในพื้นที่ชื้นแฉะ โรคที่มากับยุงที่พบบ่อยได้แก่ มาลาเรียและไข้เลือดออก ซึ่งมีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

วิธีป้องกัน:

– สวมเสื้อผ้าแขนยาว ขายาวสีอ่อน
– ทายากันยุงที่มีส่วนผสมของ DEET อย่างสม่ำเสมอ
– นอนในมุ้งชุบสารเคมีกันยุงหากต้องพักค้างคืนในป่า
– หลีกเลี่ยงการเดินป่าในช่วงเวลาที่ยุงชุกชุม (เช้ามืดและพลบค่ำ)

โรคลีพโตสไปโรซิส (โรคฉี่หนู) – อันตรายจากน้ำที่ปนเปื้อน

โรคฉี่หนูเกิดจากเชื้อแบคทีเรียในปัสสาวะของสัตว์ โดยเฉพาะหนู ที่ปนเปื้อนในน้ำหรือดิน เชื้อสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านบาดแผลหรือเยื่อบุต่างๆ อาการเริ่มต้นคล้ายไข้หวัด แต่อาจลุกลามเป็นภาวะไตวายหรือตับอักเสบได้

วิธีป้องกัน:

– หลีกเลี่ยงการลุยน้ำหรือเดินลุยโคลนโดยไม่จำเป็น
– สวมรองเท้าบูทหรือรองเท้าที่ปิดมิดชิด
– ทำความสะอาดแผลทันทีหากเกิดบาดแผล
– ไม่ดื่มน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติโดยไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ

การเดินป่า Dangerous diseases from hiking and how to prevent them

โรคติดเชื้อจากเห็บและไร – ศัตรูตัวเล็กอันตรายใหญ่

เห็บและไรสามารถนำโรคร้ายแรงมาสู่นักเดินป่า เช่น โรคไข้รากสาดใหญ่ (Scrub typhus) และโรคไข้เห็บ ซึ่งมีอาการไข้ ปวดศีรษะ มีผื่นแดง และอาจรุนแรงถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตได้

วิธีป้องกัน:

– สวมเสื้อผ้าปิดมิดชิดและสอดชายเสื้อไว้ในกางเกง
– ฉีดสเปรย์กันแมลงที่มีส่วนผสมของ permethrin บนเสื้อผ้า
– ตรวจร่างกายอย่างละเอียดทุกวันหลังการเดินป่า
– ถอดเห็บอย่างถูกวิธีทันทีที่พบ โดยใช้คีมปลายแหลมคีบใกล้ผิวหนังและดึงตรงๆ อย่างนุ่มนวล

อาการแพ้พืชและแมลงมีพิษ – ภัยที่มองไม่เห็น

ในป่ามีพืชและแมลงมากมายที่สามารถก่อให้เกิดอาการแพ้รุนแรงได้ เช่น ต้นตำแย ตำผึ้ง หรือแมลงที่มีพิษ อาการแพ้อาจรุนแรงตั้งแต่ผื่นคัน บวมแดง ไปจนถึงช็อกและเสียชีวิตในกรณีของผู้ที่แพ้รุนแรง

วิธีป้องกัน:

– ศึกษาพืชและแมลงอันตรายในพื้นที่ก่อนออกเดินทาง
– สวมถุงมือและเสื้อผ้าที่ปกป้องผิวหนัง
– พกยาแก้แพ้ติดตัวเสมอ
– หากมีประวัติแพ้รุนแรง ควรพกยาฉีด Epinephrine (EpiPen) ไปด้วย

การเดินป่า Dangerous diseases from hiking and how to prevent them

โรคท้องร่วงและอาหารเป็นพิษ – ปัญหาที่พบบ่อยจากการ เดินป่า

การรับประทานอาหารหรือน้ำที่ไม่สะอาดในระหว่างการ เดินป่ามักก่อให้เกิดอาการท้องร่วง อาเจียน และอาหารเป็นพิษ ซึ่งนอกจากจะทำให้เสียสุขภาพแล้ว ยังอาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรงได้

วิธีป้องกัน:

– พกน้ำสะอาดไปให้เพียงพอ หรือพกอุปกรณ์กรองน้ำ/ฆ่าเชื้อโรค
– ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง
– หลีกเลี่ยงการเก็บผลไม้ป่ามารับประทานหากไม่แน่ใจ
– เก็บรักษาอาหารให้ถูกสุขลักษณะ ป้องกันการปนเปื้อนจากแมลงและสัตว์

ภาวะลมแดดและขาดน้ำ – อันตรายเงียบในป่า

นักเดินป่าหลายคนมักประสบปัญหาภาวะลมแดด (Heat stroke) และขาดน้ำโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนหรือเส้นทางที่ยากลำบาก อาการเริ่มต้นได้แก่ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อ่อนเพลีย และอาจรุนแรงจนหมดสติได้

วิธีป้องกัน:

– ดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอ แม้จะไม่รู้สึกกระหาย
– สวมหมวกและเสื้อผ้าที่ระบายความร้อนได้ดี
– หลีกเลี่ยงการ เดินป่าในช่วงเวลาที่อากาศร้อนจัด
– พักเป็นระยะในที่ร่มเมื่อรู้สึกเหนื่อยล้า

 

การเดินป่า Dangerous diseases from hiking and how to prevent them

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคอันตรายจากการ เดินป่า

1. ควรพกยาอะไรติดตัวไปเดินป่าบ้าง?

สำหรับการ เดินป่า ควรพกยาพื้นฐานดังนี้:
ยาแก้ปวด ลดไข้ เช่น พาราเซตามอล
ยาแก้แพ้ เช่น คลอร์เฟนิรามีน
ยาแก้ท้องเสีย เช่น ลอเปราไมด์
ยาปฏิชีวนะสำหรับบาดแผล เช่น เจนตามัยซิน
น้ำเกลือล้างแผล
ยาทาแก้แพ้ผื่นคัน
พลาสเตอร์ปิดแผลหลายขนาด
ผ้าพันแผล
หากมีโรคประจำตัว ต้องพกยาประจำตัวไปด้วยในปริมาณที่เพียงพอ

2. หากถูกงูกัดระหว่างเดินป่า ควรทำอย่างไร?

เมื่อถูกงูกัดระหว่างเดินป่า ควรปฏิบัติดังนี้:
พยายามจำลักษณะของงูเพื่อแจ้งบุคลากรทางการแพทย์
ล้างบาดแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่อ่อนๆ
ไม่ควรดูดพิษออก ไม่ขันชะเนาะ หรือรัดแผลแน่นเกินไป
ถอดเครื่องประดับบริเวณใกล้รอยกัดออก เพราะอาจบวม
ให้บริเวณที่ถูกกัดอยู่ต่ำกว่าระดับหัวใจ
เคลื่อนย้ายผู้ป่วยน้อยที่สุด
รีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด เพื่อรับเซรุ่มแก้พิษงู

3. อาการของโรคลมแดด (Heat stroke) มีอะไรบ้าง และควรปฐมพยาบาลอย่างไร?

อาการของโรคลมแดด:
ผิวหนังร้อนแห้ง แดง
อุณหภูมิร่างกายสูงมากกว่า 39.4°C
ชีพจรเต้นเร็ว
หายใจเร็ว
ปวดศีรษะรุนแรง
เวียนศีรษะ คลื่นไส้
สับสน มึนงง
อาจหมดสติ
การปฐมพยาบาล:
ย้ายผู้ป่วยไปในที่ร่ม อากาศถ่ายเทได้ดี
ถอดเสื้อผ้าที่ไม่จำเป็นออก
ประคบเย็นบริเวณขาหนีบ รักแร้ ข้อพับแขน คอ
ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตัวเพื่อลดอุณหภูมิ
ให้ดื่มน้ำเย็น (ถ้ารู้สึกตัวดี)
รีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด เพราะเป็นภาวะฉุกเฉิน

4. จะรู้ได้อย่างไรว่าน้ำในป่าปลอดภัยสำหรับการดื่ม?

น้ำในป่าแทบทุกแหล่งอาจมีการปนเปื้อนเชื้อโรค แม้จะดูใสสะอาด ดังนั้น:
ไม่ควรดื่มน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติโดยตรง
น้ำทุกแหล่งควรผ่านการทำให้ปลอดภัยก่อนดื่ม ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง:
ต้มให้เดือดอย่างน้อย 1 นาที
กรองด้วยเครื่องกรองน้ำสำหรับเดินป่าโดยเฉพาะ
ใช้ยาฆ่าเชื้อในน้ำ เช่น คลอรีนเม็ด หรือไอโอดีน
ใช้แสง UV จากอุปกรณ์พิเศษ
หากไม่แน่ใจและมีทางเลือก ให้พกน้ำสะอาดติดตัวไปให้เพียงพอ
น้ำจากน้ำตกหรือลำธารที่ไหลเร็วมีโอกาสปนเปื้อนน้อยกว่าน้ำนิ่ง แต่ก็ยังไม่ปลอดภัย 100%

5. หากมีอาการป่วยหลังกลับจากการเดินป่า ควรบอกแพทย์อย่างไร?

หากมีอาการป่วยหลังกลับจากการเดินป่า ควรให้ข้อมูลแพทย์ดังนี้:
สถานที่ที่ไปเดินป่า ระยะเวลา และวันที่เดินทาง
กิจกรรมที่ทำระหว่างเดินป่า เช่น การลุยน้ำ การนอนในป่า
สัตว์หรือแมลงที่สัมผัส หรือถูกกัด
อาหารและน้ำที่บริโภคระหว่างการ เดินป่า
การบาดเจ็บหรือบาดแผลที่เกิดขึ้น
อาการที่เป็น วันที่เริ่มมีอาการ และการเปลี่ยนแปลงของอาการ
โรคประจำตัวและยาที่ใช้ประจำ
ประวัติการได้รับวัคซีนที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคที่อาจเกิดจากการ เดินป่าได้แม่นยำและรวดเร็วขึ้น ซึ่งบางโรคต้องการการรักษาเฉพาะทางและทันท่วงที

สรุป: เตรียมพร้อมเพื่อการ เดินป่าอย่างปลอดภัย

การเดิน ป่าให้สนุกและปลอดภัยนั้น ต้องเริ่มจากการเตรียมตัวที่ดี ทั้งการศึกษาข้อมูล การเตรียมอุปกรณ์ป้องกัน และการดูแลสุขภาพระหว่างทาง ที่สำคัญคือต้องเตรียมชุดปฐมพยาบาลที่มียาและอุปกรณ์จำเป็นไว้เสมอ รวมถึงแจ้งเส้นทางและกำหนดการให้ผู้อื่นทราบก่อนออกเดินทาง เพื่อให้สามารถติดตามหรือให้ความช่วยเหลือได้ทันท่วงทีหากเกิดเหตุฉุกเฉิน

การรู้เท่าทันโรคอันตรายและวิธีป้องกันไม่เพียงช่วยให้คุณปลอดภัย แต่ยังทำให้การผจญภัยในป่าเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำในทางที่ดี ขอให้ทุกท่านเดินป่าอย่างมีความสุขและปลอดภัย!

Scroll to Top