แผ่นดินไหวในประเทศไทย: ทำความเข้าใจภัยธรรมชาติและการเตรียมพร้อมรับมือ

แผ่นดินไหวในไทยEarthquakes in Thailand

ไทยก็เสี่ยง! แผ่นดินไหวไม่ใช่เรื่องไกลตัว – วิธีเอาตัวรอดเมื่อภัยมา

แผ่นดินไหวในประเทศไทยอาจไม่ใช่ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียหรือฟิลิปปินส์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าประเทศไทยจะปลอดภัยจากภัยธรรมชาติชนิดนี้ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยประสบกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวหลายครั้ง ทั้งที่มีจุดกำเนิดภายในประเทศและที่เกิดจากแผ่นดินไหวในประเทศเพื่อนบ้าน บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับปรากฏการณ์แผ่นดินไหวในประเทศไทย สาเหตุ พื้นที่เสี่ยง และวิธีเตรียมตัวรับมือเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว

สาเหตุของแผ่นดินไหวในประเทศไทย

ประเทศไทยตั้งอยู่บนแผ่นเปลือกโลกยูเรเซีย (Eurasian Plate) ซึ่งโดยทั่วไปถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีกิจกรรมทางธรณีวิทยาน้อย อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีรอยเลื่อนมีพลัง (Active Fault) กระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันตก รอยเลื่อนเหล่านี้สามารถเคลื่อนตัวและก่อให้เกิดแผ่นดินไหวได้
สาเหตุหลักของแผ่นดินไหวในประเทศไทยมีดังนี้:

การเคลื่อนตัวของรอยเลื่อนภายในประเทศ

ประเทศไทยมีรอยเลื่อนมีพลังประมาณ 14 กลุ่มรอยเลื่อน ซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันตก เช่น รอยเลื่อนแม่ทา รอยเลื่อนเมย รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ รอยเลื่อนเถิน และรอยเลื่อนแม่จัน เป็นต้น

แผ่นดินไหวในประเทศเพื่อนบ้าน

ประเทศไทยอาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า ลาว และอินโดนีเซีย ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีกิจกรรมทางธรณีวิทยาสูงกว่า

กิจกรรมของมนุษย์

บางครั้งกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ การทำเหมืองแร่ หรือการสูบน้ำบาดาล อาจทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดเล็กที่เรียกว่า “แผ่นดินไหวจากการกระทำของมนุษย์” (Induced Seismicity)

แผ่นดินไหวในไทยEarthquakes in Thailand3

พื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหวในประเทศไทย

แผ่นดินไหวในไทยEarthquakes in Thailand3

กรมทรัพยากรธรณีได้แบ่งพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหวในประเทศไทยออกเป็น 4 โซน ตามระดับความรุนแรงของแผ่นดินไหวที่อาจเกิดขึ้น
โซน 0: พื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่ำมาก ได้แก่ พื้นที่ส่วนใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก
โซน 1: พื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่ำ ได้แก่ พื้นที่ในภาคกลางบางส่วน และภาคใต้ตอนบน
โซน 2: พื้นที่ที่มีความเสี่ยงปานกลาง ได้แก่ พื้นที่ในภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางบางส่วน และภาคตะวันตก
โซน 3: พื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ พื้นที่ในภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันตกบางส่วน ซึ่งมีรอยเลื่อนมีพลังหลายแห่ง
จังหวัดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดแผ่นดินไหว ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี และระนอง เนื่องจากพื้นที่เหล่านี้อยู่ใกล้กับรอยเลื่อนมีพลัง

เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งสำคัญในประเทศไทย

ประเทศไทยเคยประสบกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวหลายครั้ง ทั้งที่มีจุดกำเนิดภายในประเทศและที่เกิดจากแผ่นดินไหวในประเทศเพื่อนบ้าน เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งสำคัญในประเทศไทย มีดังนี้

แผ่นดินไหวที่อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย (พ.ศ. 2557): เป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยบันทึกได้ในประเทศไทย มีขนาด 6.3 ริกเตอร์ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2557 มีศูนย์กลางอยู่ที่อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บหลายราย และอาคารบ้านเรือนเสียหายจำนวนมาก
แผ่นดินไหวที่อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย (พ.ศ. 2562): เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2562 มีขนาด 4.1 ริกเตอร์ รู้สึกได้ในพื้นที่อำเภอแม่ลาว อำเภอเมือง และอำเภอใกล้เคียงในจังหวัดเชียงราย
แผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดีย (พ.ศ. 2547): แม้จะไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่แผ่นดินไหวขนาด 9.1-9.3 ริกเตอร์ ที่เกิดขึ้นนอกชายฝั่งเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ได้ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันของประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดพังงา ภูเก็ต กระบี่ ระนอง ตรัง และสตูล ทำให้มีผู้เสียชีวิตในประเทศไทยมากกว่า 8,000 คน
แผ่นดินไหวที่อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย (พ.ศ. 2564): เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2564 มีขนาด 4.4 ริกเตอร์ รู้สึกได้ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ และลำปาง

การเฝ้าระวังและการพยากรณ์แผ่นดินไหวในประเทศไทย

ประเทศไทยมีหน่วยงานที่รับผิดชอบในการเฝ้าระวังและการพยากรณ์แผ่นดินไหว ได้แก่:

กรมอุตุนิยมวิทยา: มีหน้าที่ตรวจวัด เฝ้าระวัง และรายงานเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งออกประกาศเตือนภัยเมื่อจำเป็น
กรมทรัพยากรธรณี: มีหน้าที่ศึกษาวิจัยด้านธรณีวิทยาและรอยเลื่อนมีพลังในประเทศไทย จัดทำแผนที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว และให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับแผ่นดินไหว
ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ: มีหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ในการเฝ้าระวังและเตือนภัยพิบัติ รวมถึงแผ่นดินไหวและสึนามิ

หน่วยงานเหล่านี้ได้ติดตั้งสถานีตรวจวัดแผ่นดินไหวทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง เพื่อตรวจจับและรายงานเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning System) สำหรับแผ่นดินไหวและสึนามิ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงมีเวลาในการอพยพและเตรียมตัวรับมือกับภัยพิบัติ

การเตรียมตัวรับมือกับแผ่นดินไหว

การเตรียมตัวรับมือกับแผ่นดินไหวเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยง ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำในการเตรียมตัวรับมือกับแผ่นดินไหว:
ก่อนเกิดแผ่นดินไหว:

ตรวจสอบโครงสร้างบ้านและอาคาร: ตรวจสอบว่าบ้านหรืออาคารที่คุณอาศัยอยู่มีโครงสร้างที่แข็งแรงและปลอดภัยจากแผ่นดินไหวหรือไม่ หากจำเป็น ควรปรับปรุงหรือเสริมความแข็งแรงของโครงสร้าง
ยึดเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์: ยึดเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ เช่น ตู้หนังสือ ตู้เสื้อผ้า และชั้นวางของ ให้ติดกับผนังหรือพื้น เพื่อป้องกันการล้มทับเมื่อเกิดแผ่นดินไหว
เตรียมอุปกรณ์ฉุกเฉิน: เตรียมชุดอุปกรณ์ฉุกเฉิน ซึ่งประกอบด้วยน้ำดื่ม อาหารแห้ง ไฟฉาย วิทยุ แบตเตอรี่สำรอง ยาและอุปกรณ์ปฐมพยาบาล เอกสารสำคัญ และเงินสดจำนวนหนึ่ง
วางแผนอพยพ: วางแผนเส้นทางอพยพและจุดนัดพบสำหรับสมาชิกในครอบครัว ในกรณีที่ต้องอพยพเมื่อเกิดแผ่นดินไหว
ศึกษาแผนเผชิญเหตุ: ศึกษาแผนเผชิญเหตุแผ่นดินไหวของชุมชนหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ทราบถึงขั้นตอนและวิธีการปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุการณ์

แผ่นดินไหวในไทยEarthquakes in Thailand3

ระหว่างเกิดแผ่นดินไหว:

หมอบลงและหลบใต้โต๊ะหรือเฟอร์นิเจอร์ที่แข็งแรง: หากอยู่ในอาคาร ให้หมอบลงและหลบใต้โต๊ะหรือเฟอร์นิเจอร์ที่แข็งแรง จับยึดไว้ให้มั่นคง และป้องกันศีรษะด้วยหมอนหรือสิ่งของที่นุ่ม
อยู่ห่างจากหน้าต่าง กระจก และสิ่งของที่อาจตกลงมา: หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้หน้าต่าง กระจก และสิ่งของที่อาจตกลงมา เช่น โคมไฟ ชั้นวางของ หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่มั่นคง
ห้ามใช้ลิฟต์: หากอยู่ในอาคารสูง ห้ามใช้ลิฟต์เด็ดขาด ให้ใช้บันไดหนีไฟในการอพยพ
หากอยู่นอกอาคาร ให้อยู่ในที่โล่ง: หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้อาคาร ต้นไม้ เสาไฟฟ้า และสิ่งก่อสร้างที่อาจพังทลายลงมา
หากขับรถอยู่ ให้จอดรถและอยู่ในรถ: จอดรถในที่ปลอดภัย ห่างจากอาคาร สะพาน และต้นไม้ แล้วอยู่ในรถจนกว่าแผ่นดินไหวจะหยุด

หลังเกิดแผ่นดินไหว:

ตรวจสอบการบาดเจ็บ: ตรวจสอบว่าตัวเองและคนรอบข้างได้รับบาดเจ็บหรือไม่ หากมีผู้บาดเจ็บ ให้ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นและขอความช่วยเหลือทางการแพทย์
ตรวจสอบความเสียหายของอาคาร: ตรวจสอบความเสียหายของอาคารและโครงสร้าง หากพบรอยแตกร้าวหรือความเสียหายที่อาจเป็นอันตราย ให้อพยพออกจากอาคารทันที
ระวังอันตรายที่อาจเกิดขึ้นตามมา: ระวังอันตรายที่อาจเกิดขึ้นตามมา เช่น ไฟไหม้ ก๊าซรั่ว น้ำท่วม หรือดินถล่ม
ติดตามข่าวสารและคำแนะนำจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง: ติดตามข่าวสารและคำแนะนำจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ
ช่วยเหลือผู้อื่น: หากสามารถทำได้อย่างปลอดภัย ให้ช่วยเหลือผู้อื่นที่อาจต้องการความช่วยเหลือ เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก หรือผู้พิการ

มาตรฐานการก่อสร้างต้านแผ่นดินไหวในประเทศไทย

ประเทศไทยมีกฎหมายและมาตรฐานที่กำหนดให้อาคารในพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหวต้องมีการออกแบบและก่อสร้างให้สามารถต้านทานแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้ มาตรฐานการก่อสร้างต้านแผ่นดินไหวในประเทศไทย ได้แก่:

กฎกระทรวง ฉบับที่ 49 (พ.ศ. 2540): กำหนดให้อาคารในพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหวต้องได้รับการออกแบบและก่อสร้างให้สามารถต้านทานแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้
กฎกระทรวง ฉบับที่ 50 (พ.ศ. 2543): กำหนดพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหวในประเทศไทย และกำหนดประเภทของอาคารที่ต้องคำนึงถึงการออกแบบต้านทานแผ่นดินไหว
มาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว (มยผ. 1301-54): เป็นมาตรฐานที่กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการออกแบบอาคารให้สามารถต้านทานแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้

มาตรฐานเหล่านี้กำหนดให้อาคารในพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหวต้องได้รับการออกแบบและก่อสร้างให้มีความแข็งแรงเพียงพอที่จะต้านทานแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้ โดยคำนึงถึงขนาดและความถี่ของแผ่นดินไหวที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่นั้นๆ

อยู่ห่างจากหน้าต่าง กระจก และสิ่งของที่อาจตกลงมา: หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้หน้าต่าง กระจก และสิ่งของที่อาจตกลงมา เช่น โคมไฟ ชั้นวางของ หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่มั่นคง
ห้ามใช้ลิฟต์: หากอยู่ในอาคารสูง ห้ามใช้ลิฟต์เด็ดขาด ให้ใช้บันไดหนีไฟในการอพยพ
หากอยู่นอกอาคาร ให้อยู่ในที่โล่ง: หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้อาคาร ต้นไม้ เสาไฟฟ้า และสิ่งก่อสร้างที่อาจพังทลายลงมา
หากขับรถอยู่ ให้จอดรถและอยู่ในรถ: จอดรถในที่ปลอดภัย ห่างจากอาคาร สะพาน และต้นไม้ แล้วอยู่ในรถจนกว่าแผ่นดินไหวจะหยุด

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแผ่นดินไหวในประเทศไทย (FAQ)

ประเทศไทยมีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ แต่โอกาสนั้นค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศที่อยู่ในบริเวณวงแหวนแห่งไฟ (Ring of Fire) เช่น ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย หรือฟิลิปปินส์ อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่ที่มีรอยเลื่อนมีพลัง เช่น ภาคเหนือและภาคตะวันตกของประเทศไทย อาจเกิดแผ่นดินไหวขนาด 5-6 ริกเตอร์ได้ ซึ่งถือว่าเป็นแผ่นดินไหวขนาดปานกลางถึงค่อนข้างใหญ่

หากเกิดแผ่นดินไหวขณะอยู่บนตึกสูง ควรปฏิบัติดังนี้:

  • หมอบลงและหลบใต้โต๊ะหรือเฟอร์นิเจอร์ที่แข็งแรง จับยึดไว้ให้มั่นคง และป้องกันศีรษะ
  • อยู่ห่างจากหน้าต่าง กระจก และสิ่งของที่อาจตกลงมา
  • ห้ามใช้ลิฟต์เด็ดขาด ใช้บันไดหนีไฟในการอพยพเมื่อแผ่นดินไหวหยุด
  • หากไม่สามารถหลบใต้โต๊ะได้ ให้นั่งหรือนอนชิดผนังด้านใน ห่างจากหน้าต่างและชั้นวางของ
  • รอจนกว่าแผ่นดินไหวจะหยุด แล้วจึงอพยพลงจากตึกอย่างเป็นระเบียบ

หากอยู่ในรถขณะเกิดแผ่นดินไหว ควรปฏิบัติดังนี้:

  • ลดความเร็วลงอย่างค่อยๆ และจอดรถในที่ปลอดภัย ห่างจากอาคาร สะพาน ต้นไม้ เสาไฟฟ้า และสิ่งก่อสร้างที่อาจพังทลายลงมา
  • อยู่ในรถและคาดเข็มขัดนิรภัยจนกว่าแผ่นดินไหวจะหยุด
  • เปิดวิทยุเพื่อฟังข่าวสารและคำแนะนำจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  • หลังจากแผ่นดินไหวหยุด ให้ขับรถอย่างระมัดระวัง ระวังถนนและสะพานที่อาจได้รับความเสียหาย
  • หากพบสายไฟฟ้าขาดตกลงมาบนถนน ห้ามขับรถผ่านเด็ดขาด ให้เลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น

ปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่มีระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวล่วงหน้า (Earthquake Early Warning System) ที่สมบูรณ์เหมือนกับประเทศญี่ปุ่นหรือสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม กรมอุตุนิยมวิทยาและกรมทรัพยากรธรณีมีเครือข่ายสถานีตรวจวัดแผ่นดินไหวทั่วประเทศ ซึ่งสามารถตรวจจับและรายงานเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้อย่างรวดเร็ว และมีการแจ้งเตือนผ่านช่องทางต่างๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ และแอปพลิเคชันมือถือ

โดยทั่วไป แผ่นดินไหวที่มีขนาดตั้งแต่ 2.5 ริกเตอร์ขึ้นไป มนุษย์จะสามารถรู้สึกได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วประชาชนทั่วไปจะรู้สึกได้ชัดเจนเมื่อแผ่นดินไหวมีขนาดตั้งแต่ 3.0 ริกเตอร์ขึ้นไป โดยแผ่นดินไหวขนาด 3.0-3.9 ริกเตอร์ จะรู้สึกได้เล็กน้อย ขนาด 4.0-4.9 ริกเตอร์ จะรู้สึกได้ชัดเจน และขนาดตั้งแต่ 5.0 ริกเตอร์ขึ้นไป จะรู้สึกได้อย่างมาก และอาจเริ่มทำให้เกิดความเสียหายต่ออาคารบ้านเรือน

Scroll to Top